Holy Trinity Church in Phuket 3.99

Nanai rd, 121
Thalang, 83110
Thailand

About Holy Trinity Church in Phuket

Holy Trinity Church in Phuket Holy Trinity Church in Phuket is a well known place listed as Church/religious Organization in Thalang , Religious Organization in Thalang ,

Contact Details & Working Hours

Details

สองพันกว่าปีมาแล้ว พระเยซูบุตรแห่งพระเจ้าเสด็จมาเยือนเพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ และทรงก่อตั้งคริสต์ศาสนจักรผ่านทางอัครสาวกและเหล่าสานุศิษย์ ในเวลาต่อมาบรรดาสาวกของพระองค์ออกไปเผยแพร่ศาสนาและคำสอนตามที่ต่างๆ พวกท่านได้ก่อตั้งโบสถ์หลายแห่ง รวมตัวกันด้วยความศรัทธา การสักการะบูชา และการเข้าร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนจักร (ในภาษาอังกฤษ ออร์โธด็อกซ์เรียกพิธีศักดิ์สิทธิ์ว่า Mysteries ส่วนทางตะวันตกเรียกว่า Sacraments)
โบสถ์ที่ก่อตั้งโดยอัครสาวกของพระองค์ประกอบไปด้วย สังฆมณฑลแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ล อเล็กซานเดรีย อันติโอเกีย เยรูซาเล็ม และโรม ศาสนจักรแห่งคอนสแตนติโนเปิ้ลก่อตั้งโดยนักบุญแอนดรูว์ ศาสนจักรแห่งอเล็กซานเดรียก่อตั้งโดยนักบุญมาร์ค ศาสนจักรแห่งอันติโอเกียก่อตั้งโดยนักบุญพอล ศาสนจักรแห่งเยรูซาเล็มก่อตั้งโดยนักบุญปีเตอร์และนักบุญเจมส์ ศาสนจักรแห่งโรมก่อตั้งโดยนักบุญปีเตอร์และนักบุญพอล ต่อมาศาสนจักรเหล่านี้เผยแพร่ศาสนาออกไปและก่อตั้งศาสนจักรต่างๆ ขึ้นอีกได้แก่ ศาสนจักรแห่งซีนาย รัสเซีย กรีซ เซอร์เบีย บัลกาเรีย โรมาเนีย ฯลฯ
ศาสนจักรเหล่านี้มีรูปแบบการปกครองเป็นอิสระต่อกัน เว้นแต่ศาสนจักรแห่งโรมซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1054 แยกตัวจากศาสนจักรอื่นๆ ศาสนจักรที่เหลือมีความศรัทธาร่วมกันในคำสอน ธรรมเนียม ศีล พิธีสวด และพิธีต่างๆ รวมเรียกศาสนจักรเหล่านี้ว่า ศาสนจักรดั้งเดิม (ออร์โธด็อกซ์)

คำสอนของศาสนจักรมีที่มาจากสองแหล่งคือ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล และประเพณีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นทั้งรากฐานของการบันทึกพระคัมภีร์และเป็นทั้งแนวทางในการตีความพระคัมภีร์ ดังที่บันทึกไว้ในพระวรสารนักบุญจอห์นว่า "ยังมีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูทรงทำ แต่ถ้าจะเขียนไว้หมด ข้าพเจ้าคาดว่าโลกทั้งใบก็ไม่น่าจะพอสำหรับหนังสือเหล่านั้น" (จอห์น 21:25) คำสอนมากมายจึงถ่ายทอดโดยเหล่าอัครสาวกด้วยวิธีมุขปาฐะผ่านทางประเพณีศักดิ์สิทธิ์
คำว่า "ออร์โธด็อกซ์" (Orthodox) มีความหมายตามตัวอักษรว่า คำสอนหรือการสักการะที่ถูกต้อง มาจากคำในภาษากรีกสองคำคือ orthos แปลว่าถูกต้อง และ doxa แปลว่าคำสอนหรือการสักการะ เนื่องจากในช่วงยุคต้นของศาสนาคริสต์ มีการเผยแพร่คำสอนที่ผิด ทำให้เกิดความคลุมเครือและเป็นภัยต่ออัตลักษณ์ของศาสนจักร จึงมีการนำคำว่าออร์โธด็อกซ์มาใช้เพื่อระบุถึงศาสนจักรดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องความจริง ต่อต้านการสอนที่ผิดและความแตกแยก มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องชาวคริสต์และสรรเสริญพระเยชูผู้ทรงเป็นหลักของศาสนา
ในปัจจุบันมีนิกายจำนวนมากอ้างว่าสืบทอดมาจากศาสนาคริสต์ดั้งเดิม แต่จะพิสูจน์ได้ก็ต่อเมื่อนำสิ่งที่นิกายเหล่านี้อ้างมาเทียบกับความเชื่อดั้งเดิมของศาสนาคริสต์ ถึงแม้เรามีสิทธิ์ในการเลือกเชื่อ แต่เราก็ควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ เพื่อจะเลือกได้อย่างสมเหตุสมผล
หวังว่าคำอธิบายที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้สามารถช่วยแนะนำเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ผ่านการถ่ายทอดจากเหล่าอัครสาวกของพระเยซู ต่อไปนี้คือเกณฑ์วัดความจริงของศาสนาคริสต์ซึ่งใช้ตรวจสอบความเชื่อต่างๆ

คำสอน
พระบิดา คือแหล่งกำเนิดพระตรีเอกานุภาพ พระคัมภีร์เผยว่าพระเจ้าหนึ่งเดียว ประกอบไปด้วยสามพระบุคคลคือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต สามพระบุคคลนี้มีลักษณะความเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวชั่วนิรันดร์ จากพระบิดาก่อให้เกิดพระบุตรก่อนกาลเวลาทั้งหลาย (บทสดุดี 2:7; II โครินธ์ 11:31) จากพระบิดาบังเกิดพระจิต (จอห์น 15:26) พระบิดาทรงเนรมิตทุกสิ่งผ่านทางพระบุตรด้วยอำนาจพระจิต (ปฐมกาล 1 และ 2; จอห์น 1:3; โยบ 33:4) และพวกเราได้รับมอบหมายให้สักการะบูชาพระองค์ (จอห์น 4:23) พระบิดาทรงรักพวกเราและทรงส่งพระบุตรมามอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่พวกเรา (จอห์น 3:16)
พระเยซูคริสต์ คือพระบุคคลที่สองของพระตรีเอกานุภาพ ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา พระองค์ทรงรับเป็นมนุษย์ ดังนั้นทรงเป็นทั้งเป็นพระเจ้าและมนุษย์โดยสมบูรณ์ ผู้เผยพระวัจนะได้พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระองค์ในพระคัมภีร์ฉบับพันธสัญญาเดิม เนื่องจากพระเยซูทรงเป็นหลักแห่งศาสนาคริสต์ ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์จึงให้ความสำคัญในการรู้จักพระองค์มากกว่าสิ่งใด
ในหลักข้อเชื่อไนซีน ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์มักยืนยันความเชื่อทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระเยซูโดยกล่าวว่า "ข้าพเจ้าเชื่อในพระองค์เดียว พระเยซูพระบุตรแห่งพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลาและกัลปจักรวาลทั้งมวล แสงสว่างจากแสงสว่าง พระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ ทรงบังเกิด ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น ทรงเป็นสาระเดียวกันกับพระบิดา ทรงสร้างสรรพสิ่ง เสด็จลงมาแต่สวรรค์เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ ทรงรับเป็นมนุษย์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทางมารีย์ สาวพรหมจารี ทรงสภาพมนุษย์และทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนโดยคำสั่งของปอนติอุส ปิลาตุส ทรงทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนม์ ถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ และในวันที่สามทรงฟื้นคืนพระชนม์ ตามที่คัมภีร์ทำนายไว้ เสด็จขึ้นสวรรค์ประทับ ณ เบื้องขวาของพระบิดา พระองค์จะเสด็จมาอีกด้วยพระสิริ เพื่อพิพากษาคนเป็นและคนตาย พระราชอาณาจักรของพระองค์ไม่รู้สิ้นสุด"
การรับเป็นมนุษย์ หมายถึงการที่พระเยซูทรงรับสภาพมนุษย์ "มีเลือดเนื้อ" พระบุตรแห่งพระเจ้าทรงรับลักษณะความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ผ่านทางครรภ์พระแม่มารีย์ผู้ทรงพรหมจรรย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เดียว ทรงมีความเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์จากพระบิดาและทรงมีความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์จากพระแม่มารีย์ผู้ทรงพรหมจรรย์ การรับเป็นมนุษย์ทำให้พระองค์ทรงมีลักษณะของทั้งพระเจ้าและมนุษย์ในพระองค์เดียวชั่วนิรันดร์ พระบุตรผู้ซึ่งมีความไม่จำกัดของพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะยอมรับความจำกัดในธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้พระองค์ต้องเผชิญกับความหิว ความกระหาย ความเหนื่อยล้า และในที่สุดคือความตาย การรับเป็นมนุษย์ของพระองค์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคริสตศาสนา เพราะถ้าพระองค์ไม่ทรงรับเป็นมนุษย์ก็คงไม่มีศาสนาคริสต์ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า "ไม่มีวิญญาณใดที่จะไม่ยอมรับว่าพระเยซูที่มีเลือดเนื้อนั้นคือพระเจ้า" (I จอห์น 4:3) การรับเป็นมนุษย์ทำให้พระองค์ได้ไถ่บาปให้มนุษย์ การไถ่บาปนี้สำหรับผู้ที่เชื่อและติดตามพระองค์
พระจิตศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระบุคคลในพระตรีเอกานุภาพและเป็นสาระเดียวกันกับพระบิดา ชาวคริสต์ออร์โธด็อกซ์มักปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิต พระผู้ให้กำเนิดชีวิต สืบมาจากพระบิดา พระผู้ซึ่งเราสักการะบูชาสรรเสริญพร้อมกันกับพระบิดาและพระบุตร" เรียกว่า "สัญญาแห่งพระบิดา" (กิจการ 1:4) พระเยซูทรงมอบพระจิตให้เป็นสิ่งประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ศาสนจักร เพื่อให้อำนาจศาสนจักรในการประกอบพิธีสักการะบูชาพระเจ้า (กิจการ 1:8) เพื่อประทานความรักของพระเจ้าในใจพวกเรา (พระธรรมโรม 5:5) และเพื่อประทานพระพรวิญญาณบริสุทธิ์ (I โครินธ์ 12:7-13) และคุณธรรม (กาลาเทีย 5:22, 23) ในชีวิตและการเป็นประจักษ์พยาน ชาวคริสต์ออร์โธด็อกซ์เชื่อตามพระคัมภีร์ว่า เรารับพระจิตผ่านการเจิมในพิธีรับศีลแรก (กิจการ 2:38) และพระจิตจะทรงสถิตอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
บาป แปลตามตัวอักษรว่า "ผิดพลาด" นักบุญพอลเขียนว่า "มนุษย์ทุกคนมีบาปกำเนิดและเหินห่างจากพระเจ้า" (พระธรรมโรม 3:23) เราทำบาปเมื่อเราบิดเบือนสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าดี เราห่างเหินจากพระประสงค์ของพระองค์ บาปของเราแยกเราออกจากพระเจ้า (อิสยาห์ 59:1, 2) ทำให้จิตวิญญาณของเราตาย (เอเฟซัส 2:1) พระบุตรทรงรับความเป็นมนุษย์และทรงดำรงอยู่อย่างไร้บาปเพื่อช่วยพวกเรา "พระองค์ทรงทำให้บาปติดอยู่แต่เพียงเลือดเนื้อ" (พระธรรมโรม 8:3) เมื่อเราสารภาพและเลิกทำบาป พระเจ้าทรงอภัยให้ด้วยพระกรุณา ทรงมอบพลังแก่พวกเราเพื่อเอาชนะบาปในชีวิต "ถ้าเราสารภาพบาป พระองค์ผู้ทรงธรรมย่อมทรงอภัยและทรงชำระเราจากเหล่าอธรรมทั้งหลาย" (I จอห์น 1:9)
การไถ่บาป คือสิ่งประทานจากพระเจ้าทำให้เหล่าชายหญิงพ้นจากบาปและความตาย ได้อยู่รวมกับพระองค์ในดินแดนอันเป็นนิรันดร์ ผู้มาฟังนักบุญปีเตอร์เทศน์ในวันเพนเทคอสต์ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นจากบาป ท่านตอบว่า "จงสำนึกผิดและรับศีลล้างบาปในนามของพระเยซู เพื่อรับการอภัยในบาป และท่านจะได้รับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์" (กิจการ 2:38) การไถ่บาปประกอบด้วยสามขั้นตอนดังนี้ 1. สำนึกผิด 2. รับศีลล้างบาป 3. รับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์ การสำนึกผิด หมายถึงการเปลี่ยนความคิดในเรื่องที่เราทำผิดไป เลิกทำบาปและยอมรับพระเจ้า การรับศีลล้างบาป หมายถึงการเกิดใหม่โดยการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า และการรับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงการรับพระจิต ทำให้เราได้เริ่มชีวิตใหม่กับพระเจ้าเพื่อติดตามแนวทางของพระองค์
การพ้นบาปจำเป็นต้องเชื่อศรัทธาพระเยซู พวกเราไม่สามารถไถ่บาปได้ด้วยตัวเอง การไถ่บาปคือ "ความเชื่อมั่นศรัทธาผ่านความรัก" อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การไถ่บาปมาจากเรื่องในอดีตที่พระเยซูทรงสละพระชนม์ชีพและทรงฟื้นจากความตายเพื่อช่วยพวกเรา เป็นเรื่องในปัจจุบันที่เราจะได้รับการไถ่บาปด้วยความเชื่อศรัทธาในการรวมกับพระองค์ด้วยพลังแห่งพระจิตศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องในอนาคตที่เราจะยังต้องได้รับการช่วยให้พ้นบาปจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง
พิธีศีลล้างบาป เป็นวิธีที่ทำให้เราได้รวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า การพ้นบาปเริ่มต้นโดยการชำระด้วยน้ำในพิธีศีลล้างบาป นักบุญพอลสอนในพระธรรมโรม 6:1-6 ว่า ในพิธีศีลล้างบาปเรารับรู้การสละพระชนม์ชีพและการฟื้นคืนจากความตายของพระเยซู ในพิธีนั้นบาปของเราจะได้รับการยกโทษและเราจะได้รับพลังเพื่ออยู่ร่วมกับพระเยซูในชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ ศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ทำพิธีศีลล้างบาปด้วยการลงจุ่มแช่น้ำทั้งตัว
ในปัจจุบันมีบางท่านมองว่าพิธีศีลล้างบาปเป็นเพียง “สัญญะภายนอก” ในการแสดงความศรัทธาต่อพระเยซู แต่ความคิดเช่นนี้ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หรือในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล บางท่านมองว่าเป็นเพียงแค่พิธีที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูเท่านั้น (เทียบจากหนังสือมัทธิว 28:19-20) หรือบางท่านถึงกับละเลยพระคัมภีร์โดยปฏิเสธถึงความจำเป็นของพิธีศีลล้างบาป ทางศาสนาเห็นว่าความคิดที่่ว่าเหล่านี้ทำให้ผู้คนเสียศรัทธาในความจำเป็นของพิธีศีลล้างบาป ขอยืนยันว่าพิธีนี้ทำให้ได้รวมเป็นหนึ่งกับพระเยซูคริสต์ และพิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งในศาสนาจักรของพระองค์
การเกิดใหม่ คือการรับชีวิตใหม่ เป็นวิธีในการเข้าสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าและศาสนาจักรของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า "ถ้าไม่ได้เกิดใหม่โดยรับน้ำและพระจิตแล้ว จะไม่สามารถเข้าไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าได้" (จอห์น 3:5) ตลอดมาทางศาสนจักรตีความว่า น้ำ ที่ว่าคือน้ำในพิธีศีลล้างบาป และพระจิต ก็คือพระจิตศักดิ์สิทธิ์ การเกิดใหม่เกิดขึ้นในพิธีศีลล้างบาป กล่าวคือในพิธีเราตายพร้อมกับพระเยซู ถูกฝังกับพระองค์ และฟื้นคืนมาเฉกเช่นพระองค์ จากนั้นเราจะได้รวมกับพระองค์ในพระฉายาของมนุษย์ผู้มีเกียรติ (กิจการ 2:38; พระธรรมโรม 6:3-4) การเกิดใหม่ต้องเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับพิธีศีลล้างบาปเท่านั้น ความเชื่อที่ว่ามี “การเกิดใหม่” รูปแบบอื่นที่ไม่ผ่านพิธีศีลล้างบาปเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อพิสูจน์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
การให้เหตุผลสนับสนุน ในพระคัมภีร์หมายความว่า จากการเสียสละของพระเยซูทำให้พระเจ้าทรงให้อภัยมนุษย์และเราได้รับความชอบธรรมในการมีชีวิต การให้เหตุผลสนับสนุนนี้ ไม่ได้แปลว่าการเสียสละครั้งหนึ่งของพระเยซูจะช่วยได้หมดทุกคนและก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้ไร้ความชอบธรรมกลายเป็นผู้ชอบธรรมได้ แต่เหตุผลที่สนับสนุนการไถ่บาปนี้ คือการดำรงชีวิตตามวิถีของพระเยซู ชาวคริสต์จักต้องแสวงหาชีวิตที่ชอบธรรมด้วยพลังที่ได้รับจากพระเจ้าเพื่อเชื่อพระองค์อย่างต่อเนื่อง
การชำระให้บริสุทธิ์ จะได้รับในขั้นตอนการชำระและทำให้บริสุทธิ์โดยพระเยซูด้วยพระจิตศักดิ์สิทธิ์ เราจะบริสุทธิ์ดังเช่นนักบุญและจะดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งพระเจ้า เมื่อได้รับพรประทานจากพระจิตศักดิ์สิทธิ์ เราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เราร่วมกับพระเจ้าช่วยเหลือและดำเนินตามคำสอนของพระองค์ และเราจะประเสริฐดังเช่นพระองค์
พระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือพระวัจนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า (II ธิโมธี 3:16) และเป็นส่วนสำคัญในการเผยพระองค์แก่มวลมนุษ